นาโนเทค สวทช. จัดสัมมนา “เทคโนโลยีการฟื้นฟูขั้นสูงเพื่อความงามและสุขภาพ” รับเทรนด์การดูแลสุขภาพ

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) จัดสัมมนา เทคโนโลยีการฟื้นฟูขั้นสูงเพื่อความงามและสุขภาพ (NSTDA Anti-Aging & Rejuvenation Symposium Emerging Rejuvenation Technology for Improving Beauty & Health) นำเสนอข้อมูลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านการฟื้นฟู (Rejuvenation) และการชะลอวัย (Anti-aging) รองรับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังเป็นที่สนใจ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร และทีมขับเคลื่อน Core Business : FoodSERP Platform กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมด้านความงามและสุขภาพ จำนวนกว่า 120 คน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 ณ ห้องประชุม CC-403 ชั้น 4 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.

เทรนด์การดูแลสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของการฟื้นฟู (Rejuvenation) และการชะลอวัย (Anti-aging) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (aging society) ซึ่งไม่ได้จำเพาะแต่เพียงในกลุ่มของผู้สูงวัยเท่านั้น กลุ่มวัยกลางคนได้เริ่มมีการดูแลตัวเองแล้ว และการดูแลตัวเองในปัจจุบันครอบคลุมไปถึงการดูแลสุขภาพที่ดีและการยืดอายุขัย ซึ่งงานสัมมนาครั้งนี้ได้มีการนำเสนอข้อมูลงานวิจัยและเทคโนโลยีจากประสบการณ์ของนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้าน เวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative medicine) การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell therapy) การรักษาด้วย Exosome ที่หลั่งออกมาจากเซลล์ (Exosome therapy) ชีวนิเวศจุลชีพ (Microbiome) และการมุ่งเป้าจัดการเซลล์แก่ (Senotherapeutics) ซึ่งปัจจุบันองค์ความรู้ดังกล่าวได้มีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และการให้บริการในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง รวมถึงหัตการเพื่อความงาม เพื่อการต่อยอดงานวิจัยหรือนำไปเป็นข้อมูลประกอบทางธุรกิจ ซึ่ง สวทช. ได้มีการพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Aging อยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการวิจัยเพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ ๆ รวมถึงการวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารออกฤทธิ์ โดยการทำงานวิจัยร่วมกับภาครัฐ และการรับจ้างวิจัยและวิเคราะห์ทดสอบให้ภาคเอกชน

 

กิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยในช่วงที่ 1 เป็นการบรรยายเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาวะชรา และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรบรรยาย ได้แก่

1. ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ สังกัด บริษัท รีไลฟ์ ไบโอเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด/ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. บรรยายในหัวข้อ “Regenerative Medicine: A Big Leap toward the Fountain of Youth” โดยใช้ Regenerative Medicine เพื่อการซ่อมสร้างร่างกายมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี Tissue Engineering ในการพัฒนา “กระจกตาชีวภาพ” โดยการสร้างเส้นใยขนาดเล็กคล้ายคอลลาเจนสานเป็นตาข่ายให้โครงสร้างและกลไกเหมือนกระจกตาจริง ซึ่งปัจจุบันการดำเนินการของ NSTDA Startup ภายใต้บริษัท รีไลฟ์ จำกัด ได้มีการลงทุน Infrastructure เพื่อขอรับรองมาตรฐาน GMP PIC/S

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

2. พ.ท.นพ.ปริญญา สมัครการไถ สังกัด กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า บรรยายในหัวข้อ “New Horizons in Longevity Research—Latest Evidence on Health Span and Life Span Extension” จากการดูแลผู้ป่วยพบว่า โรคอ้วนและโรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสุขภาพและการแก่เร็ว คนเราอยากไม่ได้อยากเพิ่ม Life Span เพื่อให้มีอายุขัยยืนยาว แต่อยากมี Health Span เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีอายุขัยที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ซึ่งการเพิ่ม Health Span สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการนอนที่ดี ไม่สูบบุหรี่ การออกกำลังกาย การควบคุมแคลอรี่ และการอดอาหารเป็นช่วง ๆ (Intermittent Fasting; IF) สามารถชะลอการแก่ของเซลล์และภาวะอัลไซเมอร์ ทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่ายาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคกระดูกพรุน ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยยับยั้งกลไกที่เกี่ยวข้องกับสภาวะชราอีกด้วย

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

3. ศาสตราจารย์ ภก.ดร.ปิติ จันทร์วรโชติ สังกัด คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ “Stem Cell Regeneration–an Emerging Target for Cosmeceutical Products” จากการศึกษาการใช้สารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสเต็มเซลล์ โดยมีการนำสมุนไพรออร์กานิคที่มีมาตรฐาน ภายใต้โครงการรักษ์ป่าน่าน มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางของบริษัท จุฬาฟาร์เทค จำกัด คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรในพื้นที่

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรัณยู พลนิกร สังกัด วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายในหัวข้อ “Exosomes: The Next Big Thing in the Health & Beauty Industry?” ปัจจุบันมีการพัฒนา Exosomes มาใช้ในการบริการหัตการเพื่อความงาม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากช่วงที่ผ่านมา เพื่อใช้รักษาโควิด ซึ่งปัจจุบัน FDA เกาหลีได้ยอมรับให้ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ ซึ่งในอนาคตอาจสามารถพัฒนาต่อยอดโดยใช้ Engineering cell หรือ Personalized exosome ให้เหมาะสมกับแต่ละคนได้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังต้องการการพัฒนางานวิจัย Exosomes ทั้งด้านมาตรฐาน รวมทั้งการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพตาม Guideline ที่ อย. กำหนด

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

5. ดร.ธวิน เอี่ยมปรีดี สังกัด ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. บรรยายในหัวข้อ “Is Targeting ‘Zombie Cells’ a New Avenue for the Beauty World?” นำเสนอนวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติ “ZenoLase” ซึ่งเป็น Senolytic Ingredient ที่สามารถยับยั้งเซลล์ซอมบี้ (Senescent Cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่ตาย แต่สามารถสะสมในร่างกาย นำไปสู่ภาวะชราภาพและโรคต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับวัยที่สูงขึ้น ซึ่ง ZenoLase ผ่านการทดสอบการระคายเคืองและการทดสอบประสิทธิภาพชะลอวัย สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเวชสำอางได้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังมีการพัฒนาระบบการวิเคราะห์ทดสอบ Molecular beauty ที่พร้อมให้บริการเทคนิคแก่ผู้ประกอบ ครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบประสิทธิภาพ (Efficacy) และความปลอดภัย (Safety) ของสารออกฤทธิ์ เวชสำอาง เสริมอาหาร โดยใช้โมเดลผิวหนังคน ทั้งในระดับเซลล์ (2D cells) เนื้อเยื่อผิวหนังสามมิติ (3D skin) และผิวหนังที่ได้จากอาสาสมัคร (Ex vivo skin) รวมถึงการทดสอบเพื่อขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เวชสำอางสมุนไพรอีกด้วย

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

จากนั้น ในช่วงที่ 2 เป็นการเสวนาหัวข้อ “Deep Tech Innovations—the Journey from Bench to Market” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผลักดันผลงานวิจัยด้านการฟื้นฟูและการชะลอวัยที่มีการใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep technology) รวมถึงแนวทางในการนำเทคโนโลยีไปต่อยอดให้เกิดการ Commercialization ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย คุณกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ กรรมการ/ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) และทีมวิทยากรจากช่วงบรรยาย ได้แก่ ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์, พ.ท.นพ.ปริญญา สมัครการไถ, ศาสตราจารย์ ภก.ดร.ปิติ จันทร์วรโชติ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรัณยู พลนิกร ร่วมสวนา โดยมี ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการความร่วมมือวิจัยขนาดใหญ่ สวทช. และ ดร.ธวิน เอี่ยมปรีดี เป็นผู้ดำเนินรายการ

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

กลไกการสนับสนุนให้เกิดธุรกิจในรูปแบบ Startup ของแต่ละหน่วยงานมีความแตกต่างกัน ภาคการศึกษาทั้งส่วนของอาจารย์และหลักสูตรต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ มีคณะกรรมการคัดเลือกผลงานวิจัยที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้อาจารย์และนิสิตได้เรียนรู้กับผู้ที่มีประสบการณ์จริงจากภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาธุรกิจร่วมกับภาคเอกชน สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการสร้างศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยขั้นสูง เพื่อรองรับงานวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำตลอดจนการทดสอบในสัตว์ทดลองและในอาสาสมัคร รวมทั้ง กลไกการสนับสนุนบ่มเพาะผู้ประกอบ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจ สำหรับ สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและมีสนับสนุน Deep-tech Startup โดยการ Spin-off เพื่อเข้าโครงการ “NSTDA Startup” มีเงื่อนไขไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ Deep-tech จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนส่วนของวิจัยค่อนข้างมาก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการหานักลงทุน และควรต้องมีทีมสนับสนุนที่มีประสบการณ์จริงในการทำธุรกิจด้านความงามและสุขภาพ

ปัจจัยที่สำคัญที่จะสามารถ transfer จากงานวิจัย มาสู่ commercialization ให้เกิดเป็น Deep-tech startup ส่วนของ Product properties อาจไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด เนื่องจากธุรกิจด้าน Health & Wellness ตลาด Mass Marketing มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงมาก แต่การสร้างการรับรู้ของเทคโนโลยีในวงกว้างเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและมีทางเลือกหลากหลายในการเปรียบเทียบข้อมูล อย่างไรก็ตาม การผลักดันงานวิจัยสู่ภาคธุรกิจ Passion และความเชี่ยวชาญในงานวิจัยของนักวิจัยอาจไม่เพียงพอที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก และควรสร้างข้อมูลสนับสนุนผลงานให้พร้อมอยู่เสมอ โดยควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม และต้องเผยแพร่เพื่อสร้าง Visibility ของผลงาน เพื่อทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เช่น การแข่งขัน Pitching และการประกวดรางวัลต่าง ๆ แม้ว่าองค์ความรู้ของเทคโนโลยีจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญ แต่ Story เป็นศิลปะที่ช่วยสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งจะช่วยสร้าง Impact และทำให้เกิด Ecosystem เชื่อมโยงนวัตกรรมสู่ธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักลงทุน โดยการสร้าง Ecosystem บูรณาการระหว่าง R&D และ Business ต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ให้เห็นภาพเดียวกัน “ทำคนเดียวอาจจะไปได้ไว แต่ถ้าจะไปได้ไกลต้องทำด้วยกัน” และข้อกำจัดในการผลักดัน Deep-tech ส่วนของ Regulation ควรเข้าให้ถูกคน ซึ่งในการเตรียมเอกสาร อย. จะพิจารณาเอกสารตามมาตรฐานที่กำหนดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การบูรณาการระบบการจัดการ FDA approval ควรมีรวบรวมเป็น National Agenda เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันในรูปแบบ Consortium ทั้งนี้ ประเทศไทยมีโอกาสด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจด้านความงามและสุขภาพ หากสามารถคัดเลือกสารที่มีศักยภาพที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเพิ่ม Life Span ได้จริง โดยการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายวิจัยและภาคเอกชน จะช่วยผลักดันและพัฒนางานวิจัยด้านสมุนไพรและธุรกิจด้าน Health & Wellness ไปได้ไกลและเร็วขึ้น

 

[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]
[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]
Scroll to Top